วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

Time table for Meditation: stay with mind fullness

            Day 1
3:00-4.00 pm       travel to the place 
4.00-5.00 pm       Arrival, check in to the place unpack set up room, rest - afternoon tea  
5:00-6:00 pm       Introductory to the practice
6:00-7:00 pm       Afternoon chanting, Dhamma conversation
8:00-10:00 pm     meditation time
10:00 pm            Bedtime, self meditation on your own time

             Day 2
4:00-5:00 am       Wake up / shower yourself with “Sati” Mind fullness
5:00-5:30 am       Group Meditation
6:00 -6.45 am      Morning Chanting
6:45-7.15  am      Morning fresh air walk by walking meditation
7:15-8:00  am      Breakfast with your mind fullness “SATI”
8:00-9:00  am      Dhamma -talk
10:30-11.00  am   Offering food to the monks
11:00-12.00  pm   lunch with your mind fullness “SATI”
1:00-2:00  pm       Meditation Practice time with Walking meditation
2:00-4:00  pm      Sitting meditation time
4:00-6:00  pm      Dhamma conversation ,
6:00-7:00pm        Afternoon tea, free time
7:00-8:00pm        Evening chanting
8:00-10:00pm      meditation time
10:00 pm             Bedtime, self meditation on your own time 

             Day 3
4:00-5:00 am       Wake up / shower yourself with “Sati” Mind fullness
5:00-5:30 am       Group Meditation
6:00-6:45 am      Morning Chanting
6:45-7:15 am       Morning fresh air walk by walking meditation
7:15-8:00 am      Breakfast with your mind fullness “SATI”
8:00-9:30 am      Dhamma talk
9.30-10.30 am     Pack up, clean area
10:30-11.00  m    Offering food to the monks
11:00-12.00  m   Lunch with your mind fullness “SATI” / Depart ^/\^

** Schedule time outline maybe change to suit the day. **
General rules for all People attended this Meditation 
                Accepted the 5 rules of “Srin ha “or Eight rules (If you have health problem may have some afternoon dry food or snack) and follow this rules during this Meditation course.

               Keeping quiet and showing respect to the monks and other practices meditation is highly recommended during this time, Thank you for your co-operation

Safe trip home with your enlightenment and mind fullness and try to do this practice at home.

ตารางเวลาของหลักสูตร อยู่กับรู้

                    วันที่ 1 
14:00-16.00           เดินทาง
16.00-17.00           เข้าที่พัก น้ำปานะ - สรีระกิจ
17:00-18:00           ปฐมนิเทศน์ผู้เข้าปฏิบัติ
18:00-19:00           สวดมนต์ทำวัตรเย็น สนทนาธรรม รอบค่ำ
21:00-22:00           ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ

22:00                     เข้าที่พัก ปฏิบัติภาวนาตามอัธยาศัย 

                    วันที่ 2 
4:00-5:00               ตื่นนอนเองไม่มีเสียงปลุก/ อาบน้ำกับสติ
5:00-5:30               ปฏิบัติธรรมรวม

6:00 -6.45             ทำวัตรเช้า
6:45-7.15              เดินรับอรุณเดินจงกรม
7:15-8:00               มีสติรับประทานอาหารเช้า
8:00-9:00               ธรรมะบรรยาย
10:30-11.00          ใส่บาตร

11:00-12.00          มีสติรับประทานอาหารกลางวัน
13:00-14:00          ปฏิบัติธรรมในรูปแบบ  (เดินจงกรม นั่งสมาธิ)
14:00-16:00          เดินจงกรม นั่งสมาธิ
16:00-18:00          สนทนาธรรม
18:00-19:00          น้ำปานะ - สรีระกิจ
19:00-21:00          สวดมนต์ ทำวัตรเย็น สนทนาธรรม รอบค่ำ
21:00-22:00          ปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ
22:00                    เข้าที่พัก ปฏิบัติภาวนาตามอัธยาศัย


                   วันที่ 3
4:00-5:00             ตื่นนอนเองไม่มีเสียงปลุก/ อาบน้ำกับสติ
5:00-5:30             ปฏิบัติธรรมรวม
6:00-6:45             ทำวัตรเช้า
6:45-7:15             เดินรับอรุณเดินจงกรม
7:15-8:00              มีสติรับประทานอาหารเช้า
8:00-9:30             ธรรมะบรรยาย  นั่งสมาธิ
9.30-10.30          เก็บของทำความสะอาดสถานที่
10:30-11.00         ใส่บาตร
11:00-12.00          มีสติรับประทานอาหารกลางวัน
/ เดินทางกลับ^/\^
* หลักสูตรอยู่กับรู้
                  เพื่อฝึกสติในอิริยาบถเดิน ท่านต้องเตรียมรองเท้าที่เหมาะกับการเดินป่าไปด้วย


** เวลาและกิจกรรมอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ตามความเหมาะสม ** 

 ระเบียบสำหรับผู้มาเข้าปฏิบัติ
      ผู้ปฏิบัติต้องถือศีล 5 หรือ ศีล 8 (ถ้ามีปัญหาสุขภาพ มีอาหารแห้งให้สำหรับมื้อเย็น) และปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด
     สำรวมวาจา หมั่นสำรวจความปรุงแต่งภายในจิตใจตนเอง เมื่อเดินจงกรมหรือทำกิจส่วนตัว โปรดสำรวมวาจาเสียงอยู่เสมอ (พอเปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนอารมณ์ ผู้ปฏิบัติมักจะพูดคุยกันตามความเคยชิน จึงต้องเน้นย้ำให้ปิดวาจา เนื่องจากเป็นการรบกวนพระสงฆ์และผู้ปฏิบัติท่านอื่นที่ตั้งใจปฏิบัติสมาธิ)


กลับบ้านด้วยจิตผ่องใส และ นำไปปฏิบัติภาวนาอย่างต่อเนื่อง

Dhammarak Community Tasmania


About Us

AIMs & OBJECTIVEs: the Dhammarak Community INC.
Tasmania is a non-profit organisation to integrate, promote,
preserve and support Thai Culture within the Tasmanian Community.


Thai Temple Tasmania (ที่พักสงฆ์ แทสมาเนีย)
Address : 28 Dollery Drive, Kingston, Tasmania 7050





Download :CONSTITUTION OF: DHAMMARAK COMMUNITY INC

ธรรมะจากท่านพระอาจารย์อภัย

            ในสังคมเลว ไม่จำเป็นต้องมีแต่คนที่เลวร้าย... ในสังคมบริสุทธิ์ก็ใช่ว่าจะมีแต่คนที่มีความคิดจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่องเสมอไป...ทุกๆ สังคมย่อมมีทั้งคนดีและคนเลว ถ้าเรามองโลกในแง่ดี และทำใจให้เป็นกลาง รู้ปล่อยว่างเรื่องกังวลต่าง ๆ ที่มากมาย แล้วเปิดใจให้กว้างก็จะเข้าใจธรรมชาติและโลกนี้อย่างแท้จริง


           สวัสดี...รู้สึกว่าวันนี้สั้นกว่าวันนั้น เพราะวันนี้ไม่ใช่วันนั้น จึงไม่ขอเอาเรื่องในวันนั้นมาพูดในวันนี้ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็ต้องขอขอบคุณ คุณโยมหวาน ที่หางานให้พระทำ โดยวานให้อาตมาเขียนบทความให้ เพื่อจะนำไปลงในสิ่งพิมพ์ ก็รู้สึกให้หวั่นใจนิดๆ เพราะไม่เคยเขียนบทความกับเขาเลยตั้งแต่เกิดจนกระทั้งเพิ่งจะหัดเดินนี่แหละ...^__^แต่ ในชีวิตของคนเราย่อมมีครั้งแรกเสมอ เช่น รักครั้งแรก ผิดหวังครั้งแรก  เสียใจครั้งแรก... อะไร ๆ ที่เป็นครั้งแรกเราจะจดจำได้ดีเสมอ โดยเฉพาะความผิดหวัง ถ้าเราสังเกตตัวเราให้ดี จะเห็นว่า เรามักจะจดจำความผิดหวังหรือความเสียใจได้ดีกว่าความสุขหรือความสมหวังซะอีก อาจเป็นเพราะเรามองโลกในแง่ร้ายเกินไป ก็เป็นได้

            หลวงปู่ชา ท่านกล่าวว่า
“ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”
            คำสอนของหลวงปู่ชา ง่ายๆ ไม่ซับซ้อน แต่อุดมด้วยเนื้อหาแห่งสัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ด้วยประโยคง่ายๆ นี้เอง ทำให้นึกถึงพระพักตร์ของพระพุทธองค์ที่มักจะทรงแย้มสรวลด้วยความผ่อนคลายและเปี่ยมด้วยเมตตาอยู่เสมอ ยามที่มีสัตว์โลกผู้ถูกความทุกข์ท่วมทับจนทุกข์หนัก เข้าไปกราบขอให้พระองค์ทรงเป็นที่พึ่ง แต่ทุกครั้งที่มีสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากเข้าไปเฝ้าขอพึ่งพระบารมี ไม่มีเลยแม้แต่ครั้งเดียวที่พระองค์จะทรงตกพระทัย หรือทรงเห็นว่าเป็นเรื่องใหญ่จนทรงสูญเสียปกติภาพ ตรงกันข้าม พระองค์กลับทรงปฏิสัมพันธ์ต่อความสุข ความทุกข์ ของมนุษยชาติด้วยราคาเดียวกันอย่างเสมอต้นเสมอปลาย
            ที่เป็นเช่นนี้ นั่นคงเป็นเพราะทรงตระหนักเป็นอย่างดีว่า
            “ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด”

             คราวหนึ่ง มีสตรีชาวบ้านคนหนึ่งถูกความทุกข์อันเนื่องมาจากการสูญเสียลูกชาย จนวิกลจริต เธอได้อุ้มศพลูกชายไว้ โดยไม่ยอมทำการฌาปนกิจ เพราะเชื่อว่าลูกยังไม่ตาย หรือถึงตายไปแล้ว ก็ต้องมียาวิเศษที่จะชุบชีวิตลูกให้ฟื้นขึ้นมาได้
             วันหนึ่ง เธออุ้มศพลูกน้อยที่เริ่มส่งกลิ่น ซมซานไปจนถึงพุทธสำนัก เมื่ออยู่ต่อพระพักตร์พระพุทธองค์แล้วเธอจึงได้สติ พลางกราบทูลถามว่า พระองค์สามารถเยียวยาลูกชายของเธอให้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาดังเดิมได้หรือไม่    ทรงทออดพระเนตรดูเธอผู้ถูกความทุกข์ เพราะความพลัดพรากแผดเผาอยู่ พลางแย้มพระสรวลด้วยเมตตา ตรัสแก่เธอว่า
        “น้องหญิง เราสามารถชุบชีวิตลูกชายของเธอได้ แต่ว่า เธอต้องไปหาเมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาก่อน มาให้เราสักหนึ่งกำมือเถิด ถ้าได้เมล็ดผักกาดจากเรือนที่ยังไม่เคยมีคนตายมาแล้ว เราตถาคต จะปรุงยาชุบชีวิตลูกชายของเธอด้วยเมล็ดผักกาดนั้น”
หญิงสาวดีใจจนน้ำตาไหล เธอออกเดินทางจากพระอาราม มุ่งหน้าเข้าสู่หมู่บ้าน เพื่อขอเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ไม่เคยมีคนตาย แต่จนแล้วจนรอด เธอกลับได้รับแต่คำตอบปฏิเสธ จากทุกหลังคาเรือนที่เธอเอ่ยถาม   เมล็ดผักกาดนั้น จะหาจากเรือนหลังไหนก็ได้ แต่พอเธอเสนอเงื่อนไขที่สองที่ว่า “จากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย” เมล็ดผักกาดก็กลายเป็นของหายากขึ้นมาทันที
คุณแม่ยังสาวผู้สูญเสียลูกชาย อุ้มศพลูกน้อยเดินขึ้นเดินลงจากเรือนหลังนั้นสู่เรือนหลังนี้ แต่ทุกหลังคาเรือนที่เธอไปเยือน ล้วนแต่มีคำตอบปฏิเสธ เรือนหลังไหนๆ บ้านหลังไหนๆ ก็ล้วนแล้วแต่เคยมีคนตายมาก่อนแล้วทั้งสิ้น
             ในที่สุด ทุกๆ คำตอบปฏิเสธ ก็ได้สอนบทเรียนบทหนึ่งให้แก่เธอว่า “ความตายเป็นของธรรมดา ใช่แต่เพียงลูกชายของเราเท่านั้นที่ต้องตาย แท้ที่จริงแล้ว คนในโลกล้วนแต่จะต้องตายเหมือนกันทั้งหมด โดยไม่มีข้อยกเว้น”
              พลันที่จิตตื่นรู้อันเป็นผลจากประสบการณ์ตรงที่เกิดแต่การเที่ยวหาเมล็ดผักกาดจากบ้านที่ยังไม่เคยมีคนตาย เมฆหมอกแห่งความทุกข์ก็คลี่คลายหายไปจากชีวิตของเธอ หญิงสาวยอมให้ทำการเผาศพลูกโดยดี  จากนั้นก็ตรงไปเฝ้าพระพุทธองค์ กราบทูลรายงานสิ่งที่เกิดขึ้นจากประสบการณ์ตรงให้ทรงทราบ
              สิ้นเสียงกราบทูลรายงานความคืบหน้าในทางธรรมของเธอแล้ว พระพุทธองค์ทรงแย้มพระสรวลน้อยๆ พระพักตร์เจือด้วยพระเมตตาเต็มเปี่ยม นาทีนั้นหญิงสาวเข้าใจทันทีว่า สำหรับพระองค์แล้ว ความตาย ความพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รักเป็นเรื่องธรรมดา
              แต่นั้นเป็นต้นมา อดีตคุณแม่ผู้ถูกความพลัดพรากจู่โจมจนวิกลจริต จึงหันหน้าเข้าเส้นทางธรรม อุทิศตนบวชเป็นภิกษุณีในพระธรรมวินัย และกลายเป็นพระอรหันต์ภายในเวลาไม่นานนัก

คำของหลวงปู่ชาที่ว่า
            “ทุกอย่างในโลกนี้มันถูกอยู่แล้ว มีแต่ความเห็นของเราเท่านั้นที่ผิด” 
เป็นถ้อยคำสำคัญมาก คำๆ นี้ เปลี่ยนชีวิตคนมาแล้วมากต่อมาก มิน่าเล่า เมื่อแรกที่พระพุทธองค์ทรงแสดงปฐมเทศนา จึงทรงเริ่มมรรคมีองค์ ๘ ด้วย “สัมมาทิฐิ” คือการเห็นชอบ การเห็นถูก การเห็นตรง (ตามความเป็นจริง)
การเห็นชอบ = การเห็นถูก
การเห็นถูก = การเห็นตรง
การเห็นตรง = การเห็นไม่ผิด
ที่ว่าเห็นไม่ผิด คือ เห็นสอดคล้องกับความจริงที่เป็นจริงของมันอย่างนั้นเอง
                                                                                                            อภัยภูเบศร์ ภิกฺขุ

แจ้งข่าวสมาชิก เกี่ยวกับวัด

               แจ้งข่าวสมาชิก เกี่ยวกับ วัด ตั้งแต่วันที่ 15 May 2012 ทางวัดทัสมาเนียจะมีพระสงฆ์ประจำอยู่รูปเดียวคือท่าน พระไพรทูนย์ ทางชมรมธรรมรักษ์เพิ่งได้รับทราบจากทางท่านพระอภัยศักย์ เนื่องด้วยท่านต้องกลับไปประจำอยู่ที่วัดแคมเบอร์ร่า โดยยังไม่มีหมายกำหนดกลับมาทางแทสมาเนีย
             ทางชมรมจึงได้เรียนมา ให้สมาชิกวัดได้รับทราบ พวกเรารู้สึกเสียใจและไม่อยากให้ท่านจากเราไป

            ใน ณ ขนะนี้ ทางชมรมจึงได้เขียนจดหมายถึงทางท่านเจ้าคุณ ณ วัดไทยในแคมเบอรร่า ให้พิจารณา ให้ท่านพระอภัยศักย์ได้กลับมาประจำอยู่ที่แทสมาเนียต่อไป ด้วยแนวทางการปฏิบัติที่ดี ตามรอยพระพุทธศานาและปฐิปทาของท่านที่เป็นหัวหน้ากลุ่มชมรมธรรมรักษ์ ด้วยความเมตตาที่ท่านมีต่อชุมชนคนไทยเรา ได้ร่วมแรงร่วมใจ เป็นหัวหน้านำทางให้พวกเราชุมชนคนไทย ได้รวมตัวกันเป็นหนึ่ง เดียวกัน
             โดยการใช้ธรรมะ ที่ท่านเมตตา กรุณาสั่งสอน ด้วยการชักชวนให้ คนที่สนใจปฏิบัติ สวดมนต์ นั่งสมาธิ และสร้างสรร ความคิด เรื่องกิจกรรมในด้านอื่นๆ อาทิเช่น สอนภาษาไทย และ แทรกซ้อนด้วยการสอนธรรมะแด่ลูกหลานไทยในแทสมาเนีย เสมือนหนึ่งท่านคือเพรชแห่งธรรม ที่นำพาเมล็ดพันธ์ ของพุทธศาสนามา ปลูกในหัวใจคนไทยและชาวพุทธ ให้งอกงามต่อไป
             ด้วยอนิสงส์จากการให้ธรรมะเป็นทานนี้ พวกเราขอน้อมบูชาอาจริยคุณแด่ท่าน พระอภัยศักย์ พระผู้อุทิศชีวิตเป็นแสงแห่งประทีปธรรม และหวังเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะได้กลับมาประจำอยู่ ณ วัดแทสมาเนียในการต่อไป ขอให้พวกเราที่เป็นสมาชิค ได้น้อมนำคำสั่งสอนของท่านมาเป็นแนวธรรมในการดำเนินชีวิตให้อย่างราบรื่นผาสุข ให้สมเจตนาของท่านพระอาจารย์ที่ท่านได้เสียสระเมตตาชี้ทางสว่างให้แก่พวกเราชาวพุทธในแทสมาเนีย
                กราบ สาธุ ค่ะท่าน และในโอกาสนี้ จะแนบ บทความธรรมที่ท่านได้เขียนไว้ ให้พวกเรา เพื่อจะใส่ใน  newsletter ของวัดมาให้สมาชิกได้อ่านกันก่อน

Wat Thai Tasmania History

Wat Thai Tasmania History



วัดไทยในรัฐแทสเมเนีย

              นับตั้งแต่คณะสงฆ์ธรรมยุตินิกาย ได้ส่งพระธรรมทูตมาปฎิบัติศาสนากิจ เผยแผ่พระพุทธศาสนาอยู่ในประเทศออสเตรเลีย เป็นระยะเวลาอันยาวนาน งานการเผยแผ่พระพุทธศาสนา ได้เจริญและขยายออกเป็นลำดับ จึงทำให้เกิดมีวัดไทย ของคณะธรรมยุติขึ้นในประเทศออสเตรเลียเกือบทุกรัฐ เนื่องจากประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีพื้นที่ใหญ่มาก เกาะแทสเมเนียเป็นอีกรัฐหนึ่งที่ยังไม่มีวัดไทยเลย ถึงแม้ว่าจะมีพระธรรมทูตมาประจำอยู่ในประเทศนี้นานแล้วก็ตาม เนื่องจากชุมชนคนไทย ยังมีน้อย
              จนกระทั่งปลายปีพุทธศักราช 2553 ที่ผ่านมา พระปรีชาญาณวิเทศ เจ้าอาวาสวัดธัมมธโร ซึ่งดำรงตำแหน่งประธานคณะสงฆ์ธรรมยุติ ปกครองคณะสงฆ์ธรรมยุติ ในประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ซึ่งก่อนหน้านั้นท่านได้เคยเดินทางมาเยี่ยมเยียนพุทธศาสนิกชนชาวแทสเมเนียหลายครั้ง ได้ติดต่อกับคุณธิดา เรืองฤทธิ์ และ คุณยุวดี Tyler ถึงเรื่องความเป็นไปได้ในการสร้างวัดไทยขึ้นในรัฐแทสเมเนีย พระปรีชาญาณวิเทศจึงได้ส่งพระภิกษุ 3 รูป มาประจำอยู่ที่นครโฮบาร์ทก่อนโดยมี พระโสภณธรรมาภรณ์ , พระครูปลัดสมศักดิ์ ปัณฑิโต และ พระปลัดสมบัติ ชยสัมปัณโน
                เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2553 โดยได้รับการอุปถัมภ์ จากคุณยุวดี ถวายบ้านให้พักอยู่ชั่วคราวก่อนจนกว่าจะหาที่พักได้ ที่บ้านเลขที่ 21 Cromwell Street Battery Point, Sandy Bay ส่วนคุณยุวดีได้ย้ายไปพักอยู่ที่บ้านคุณ ธิดา เรืองฤทธิ์ จนกระทั่งวันที่ 26 พฤศจิกายน 2553 พระสงฆ์จึงได้ย้ายเข้าพักที่บ้านเช่าเลขที่ 493 Churchill Avenue, Sandy Bay. จนถึงปัจจุบัน
                กิจกรรมงานแรกที่คณะสงฆ์และชุมชนคนไทยในนครโฮบาร์ท ร่วมกันจัดคือ งานจุดเทียนชัย ถวายพระพร และ ปฎิบัติธรรม แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธันวาคม 2553 ซึ่งมีพระครูวิเทศธรรมานุศาสน์ รองประธาน คณะสงฆ์ และพระมหาวิรัติ สุเมธิโก จากวัดพุทธรังษี แอนนัลเดล ได้เดินทางมาร่วมจัดงานในครั้งนี้ด้วย โดยมีคนไทยและชาวต่างชาติร่วมงานประมาณ 200 คน
              การมีพระสงฆ์ไทย มาประจำอยู่ที่นครโฮบาร์ท ได้รับการบอกกล่าวกันในหมู่ชุมชนคนไทย เป็นลำดับเรื่อยมาและได้รับการสนับสนุนจากแรงศรัทธาด้วยดี
จึงถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้น ของการพากเพียร พยายามที่จะให้วัดไทยเกิดขึ้นในรัฐทัสมาเนียต่อไป